“การเกิดเป็นเด็กผู้หญิงในไทย เราถูกสอนเรื่องเซ็กซ์อย่างไร? เราพบว่าคำตอบคือไม่สอน จงคิดว่าเซ็กซ์ไม่มีอยู่จริง อย่างตัวเราเองก็ไม่รู้ ไม่มีใครบอกว่าเซ็กซ์คืออะไร แค่อยากจะดูจันดารา ยังต้องแอบไปดูบ้านคนอื่น เพราะที่บ้านเราจะรีฉากนั้นข้ามไปทุกครั้ง
ตอนอายุ 3-4 ขวบ เราเริ่มมีความรู้สึกทางเพศ แต่ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรที่ชอบจับจิ๋มตัวเอง แต่รู้ว่าห้ามทำ มันประหลาด วิปริต จนมาโตแล้วถึงรู้ว่างานวิจัยหลายชิ้นบอกว่าเด็กๆ ก็มีอารมณ์ทางเพศได้ เป็นเรื่องปกติของร่างกาย
ตอนนอนช่วยตัวเอง ถ้าอยู่ๆ พ่อแม่เปิดประตูเข้ามา เราเอามือออกไม่ทันก็ทำได้แต่หยุดขยับ แล้วก็หลอกตัวเองว่าไม่เห็นหรอก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เขาก็อาจจะเห็นก็ได้ แต่ไม่อยากพูดถึง เช่นกันกับที่โรงเรียนอนุบาล ตอนนอนพักกลางวัน เพื่อนทุกคนหลับนิ่งเหมือนตาย มีเราขยับอยู่คนเดียว มันเด่นมาก เราคิดตลอดว่าครูน่าจะเห็น ไม่รู้ว่าเขาจะหาว่าเราวิปริตหรือเปล่า จนเข้ามหา’ลัย อายุ 20 กว่า เราเริ่มถามเพื่อนว่า ‘เฮ้ย มึงเคยช่วยตัวเองไหม’ เพื่อนทุกคนทำหน้างง แล้วถามว่าช่วยเองคืออะไรเหรอ? เฮ้ย! กลายเป็นไม่มีใครช่วยตัวเองเลย นี่กูเงี่ยนคนเดียวเหรอ? (หัวเราะ) กูวิปริตแน่นอน
ก็ไม่รู้ว่าเพื่อนมันไม่เคยจริงๆ หรือว่าทำเป็นไม่รู้จักตามที่สังคมคาดหวัง เพราะขนาดว่าเราโตกันจนจะเป็นแม่คนได้แล้ว ในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงยังไม่มีใครกล้าบอกว่าช่วยตัวเองเลย มันเป็นหลักฐานที่บอกว่าผู้หญิงเราถูกกีดกันเรื่องความสุขทางเพศขนาดไหน เรากลัวแม้แต่จะจับของตัวเอง กลัวที่จะยอมรับว่าเคยช่วยตัวเอง
ตอนสมัยเรียนมัธยมต้น โรงเรียนเราจ้างทีมวิทยากรมาสอนเรื่องนี้ แต่ชื่อโครงการคือ ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ซึ่งเนื้อหาของโครงการแทบไม่ได้สอนอะไรเลย แค่ชักชวนว่ามันจะดีขนาดไหน หากเราเก็บซิงเอาไว้ให้สามีหลังแต่งงาน อย่างแรก เราไม่ต้องกังวลเรื่องท้องและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งถ้าเงี่ยนก็ขอให้รอ ให้ฮึบเอาไว้ เรียนอยู่ก็ฮึบไว้ ทำงานก็ฮึบไว้ จนกว่าจะเจอคู่แท้ของเรา ซึ่งเจอแล้วก็ห้ามมีอะไรกันจนกว่าจะได้แต่งงาน
ก่อนจบโครงการ วิทยากรให้เราเซ็นสัญญาสองแผ่น เขียนว่า “ข้าพเจ้านางสาว …. จะไม่มีเพศสัมพันธ์กับใครเลยจนกว่าจะแต่งงาน หากข้าพเจ้าทำผิดไปจากนี้ ข้าพเจ้าจะโทรไปสารภาพกับเพื่อนที่ถือสัญญานี้ไว้อีกฉบับ เพื่อให้เขาฉีกกระดาษแผ่นนี้ทิ้ง” แล้วก็แลกกระดาษสัญญาดังกล่าว เพื่อให้เด็กมันรู้สึกว่าคุณค่าสูงสุดของชีวิตคือการเก็บซิงไว้ก่อนแต่งงาน อย่าเผลอไปมีอะไรกับใครเด็ดขาด
ถ้าเราได้สอนเรื่องนี้กับเด็กผู้หญิงในประเทศนี้ เราจะเปลี่ยนสัญญาฉบับนี้ใหม่ เขียนว่า “ข้าพเจ้านางสาว …. สัญญาว่าเมื่อได้มีเซ็กซ์ที่มัน ที่ดี ที่เยี่ยม ดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ บนพื้นฐานของการยินยอมพร้อมใจ ข้าพเจ้าจะโทรไปเม้าท์กับเพื่อนสาวของข้าพเจ้าว่า เฮ้ย เซ็กซ์มันดีมาก เยี่ยมมาก เสียวมาก เพื่อให้ความรู้สึกความรู้สึกผิดต่อการมีเซ็กซ์ของเด็กผู้หญิงในประเทศนี้จะได้หายไปสักที”
ตอนอายุ 3-4 ขวบ เราเริ่มมีความรู้สึกทางเพศ แต่ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรที่ชอบจับจิ๋มตัวเอง แต่รู้ว่าห้ามทำ มันประหลาด วิปริต จนมาโตแล้วถึงรู้ว่างานวิจัยหลายชิ้นบอกว่าเด็กๆ ก็มีอารมณ์ทางเพศได้ เป็นเรื่องปกติของร่างกาย
ตอนนอนช่วยตัวเอง ถ้าอยู่ๆ พ่อแม่เปิดประตูเข้ามา เราเอามือออกไม่ทันก็ทำได้แต่หยุดขยับ แล้วก็หลอกตัวเองว่าไม่เห็นหรอก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงๆ เขาก็อาจจะเห็นก็ได้ แต่ไม่อยากพูดถึง เช่นกันกับที่โรงเรียนอนุบาล ตอนนอนพักกลางวัน เพื่อนทุกคนหลับนิ่งเหมือนตาย มีเราขยับอยู่คนเดียว มันเด่นมาก เราคิดตลอดว่าครูน่าจะเห็น ไม่รู้ว่าเขาจะหาว่าเราวิปริตหรือเปล่า จนเข้ามหา’ลัย อายุ 20 กว่า เราเริ่มถามเพื่อนว่า ‘เฮ้ย มึงเคยช่วยตัวเองไหม’ เพื่อนทุกคนทำหน้างง แล้วถามว่าช่วยเองคืออะไรเหรอ? เฮ้ย! กลายเป็นไม่มีใครช่วยตัวเองเลย นี่กูเงี่ยนคนเดียวเหรอ? (หัวเราะ) กูวิปริตแน่นอน
ก็ไม่รู้ว่าเพื่อนมันไม่เคยจริงๆ หรือว่าทำเป็นไม่รู้จักตามที่สังคมคาดหวัง เพราะขนาดว่าเราโตกันจนจะเป็นแม่คนได้แล้ว ในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงยังไม่มีใครกล้าบอกว่าช่วยตัวเองเลย มันเป็นหลักฐานที่บอกว่าผู้หญิงเราถูกกีดกันเรื่องความสุขทางเพศขนาดไหน เรากลัวแม้แต่จะจับของตัวเอง กลัวที่จะยอมรับว่าเคยช่วยตัวเอง
ตอนสมัยเรียนมัธยมต้น โรงเรียนเราจ้างทีมวิทยากรมาสอนเรื่องนี้ แต่ชื่อโครงการคือ ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ซึ่งเนื้อหาของโครงการแทบไม่ได้สอนอะไรเลย แค่ชักชวนว่ามันจะดีขนาดไหน หากเราเก็บซิงเอาไว้ให้สามีหลังแต่งงาน อย่างแรก เราไม่ต้องกังวลเรื่องท้องและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งถ้าเงี่ยนก็ขอให้รอ ให้ฮึบเอาไว้ เรียนอยู่ก็ฮึบไว้ ทำงานก็ฮึบไว้ จนกว่าจะเจอคู่แท้ของเรา ซึ่งเจอแล้วก็ห้ามมีอะไรกันจนกว่าจะได้แต่งงาน
ก่อนจบโครงการ วิทยากรให้เราเซ็นสัญญาสองแผ่น เขียนว่า “ข้าพเจ้านางสาว …. จะไม่มีเพศสัมพันธ์กับใครเลยจนกว่าจะแต่งงาน หากข้าพเจ้าทำผิดไปจากนี้ ข้าพเจ้าจะโทรไปสารภาพกับเพื่อนที่ถือสัญญานี้ไว้อีกฉบับ เพื่อให้เขาฉีกกระดาษแผ่นนี้ทิ้ง” แล้วก็แลกกระดาษสัญญาดังกล่าว เพื่อให้เด็กมันรู้สึกว่าคุณค่าสูงสุดของชีวิตคือการเก็บซิงไว้ก่อนแต่งงาน อย่าเผลอไปมีอะไรกับใครเด็ดขาด
ถ้าเราได้สอนเรื่องนี้กับเด็กผู้หญิงในประเทศนี้ เราจะเปลี่ยนสัญญาฉบับนี้ใหม่ เขียนว่า “ข้าพเจ้านางสาว …. สัญญาว่าเมื่อได้มีเซ็กซ์ที่มัน ที่ดี ที่เยี่ยม ดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ บนพื้นฐานของการยินยอมพร้อมใจ ข้าพเจ้าจะโทรไปเม้าท์กับเพื่อนสาวของข้าพเจ้าว่า เฮ้ย เซ็กซ์มันดีมาก เยี่ยมมาก เสียวมาก เพื่อให้ความรู้สึกความรู้สึกผิดต่อการมีเซ็กซ์ของเด็กผู้หญิงในประเทศนี้จะได้หายไปสักที”

“เราจำได้ว่าตอนมีเซ็กซ์ครั้งแรกหน้าพ่อลอยมา ซึ่งมันเหี้ยมาก มันมาจากคำสอนที่ว่า การมีเซ็กซ์คือการทำผิดกับพ่อแม่ แล้วถามว่าเราจะเสร็จไหม? ตอบคือ ไม่ นอกจากเจ็บ แล้วยังรู้สึกผิดอีก ฉะนั้นประสบการณ์ทางเพศของผู้หญิงส่วนใหญ่จึงมักแย่ ไม่มีความสุข
ผู้หญิงหลายคนซึมซับผ่านหนังโป๊ว่าเวลามีเซ็กซ์จะต้องร้องครางตลอดเวลา ตัวเราก็เหมือนกัน เราครางแบบหลอกๆ เพื่อเพิ่มบรรยากาศและทำให้คู่เราเสร็จ บางทีเขายังไม่เอาเข้ามา เราก็ครางแล้ว ซึ่งสร้างผลเสียกับผู้ชายมากๆ เพราะมันทำให้เขาเข้าใจผิดว่า คxxเขาหอมมาก แซ่บ นัวมาก เขาเก่งมาก เพราะผู้หญิงที่ครางไม่หยุด ซึ่งเราก็มีส่วนทำให้เขาเข้าใจผิด
เราพบว่าหลายครั้งที่มีเซ็กซ์ เราอยากบรรลุเป้าหมายและพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ดี ทำได้เก่ง แต่ตอนทำกลับไม่รู้สึกมีความสุขระหว่างทาง ไม่รู้สึกเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง เครียด ทั้งๆ ที่มันควรเป็นกิจกรรมทางการที่เราทำแล้วมีความสุข ผ่อนคลาย
อีกเรื่องคือเราควรให้ feedback เรื่องเซ็กซ์กับคู่ของเราได้ เพราะอีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่าทำแบบไหนแล้วเราชอบ แบบไหนที่ไม่ชอบเลย เพราะถ้าบอกกันได้ เซ็กซ์ของเราจะพัฒนา อีกฝ่ายก็ทำเก่งขึ้น เอาใจใส่คู่ของตัวเองได้มากขึ้น เช่น ผู้ชายที่เราเคยมีเซ็กซ์ด้วย ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าคXXตัวเองหอม แล้วกดให้เราลงไปอมทุกครั้ง จนกลายเป็นขั้นตอนประจำก่อนมีเซ็กซ์ แต่อมนานๆ เราก็เจ็บกราม บางทีก็เข้าไปลึกมากจนอยากจะอ้วก ในขณะที่ผู้ชายบางคนรังเกียจการเลียจิ๋มมาก ไม่ทำเลย เราเลยคิดว่ามันไม่แฟร์ ควรถามกันหน่อยว่าอยากให้ทำให้ไหม พลัดกันทำบ้าง แล้วถ้าไม่ทำให้ก็ไม่ได้แปลว่าไม่รัก ไม่อยากมีอะไรด้วย”
เธออายุ 28 ปี #คุยกับจิ๋ม (บทสัมภาษณ์นี้มาจากงานอวัยวะเพศหลากหลาย The Queer Genitals Monologues โดย Queer Riot )
ผู้หญิงหลายคนซึมซับผ่านหนังโป๊ว่าเวลามีเซ็กซ์จะต้องร้องครางตลอดเวลา ตัวเราก็เหมือนกัน เราครางแบบหลอกๆ เพื่อเพิ่มบรรยากาศและทำให้คู่เราเสร็จ บางทีเขายังไม่เอาเข้ามา เราก็ครางแล้ว ซึ่งสร้างผลเสียกับผู้ชายมากๆ เพราะมันทำให้เขาเข้าใจผิดว่า คxxเขาหอมมาก แซ่บ นัวมาก เขาเก่งมาก เพราะผู้หญิงที่ครางไม่หยุด ซึ่งเราก็มีส่วนทำให้เขาเข้าใจผิด
เราพบว่าหลายครั้งที่มีเซ็กซ์ เราอยากบรรลุเป้าหมายและพิสูจน์ตัวเองว่าทำได้ดี ทำได้เก่ง แต่ตอนทำกลับไม่รู้สึกมีความสุขระหว่างทาง ไม่รู้สึกเป็นเจ้าของร่างกายตัวเอง เครียด ทั้งๆ ที่มันควรเป็นกิจกรรมทางการที่เราทำแล้วมีความสุข ผ่อนคลาย
อีกเรื่องคือเราควรให้ feedback เรื่องเซ็กซ์กับคู่ของเราได้ เพราะอีกฝ่ายก็ไม่รู้ว่าทำแบบไหนแล้วเราชอบ แบบไหนที่ไม่ชอบเลย เพราะถ้าบอกกันได้ เซ็กซ์ของเราจะพัฒนา อีกฝ่ายก็ทำเก่งขึ้น เอาใจใส่คู่ของตัวเองได้มากขึ้น เช่น ผู้ชายที่เราเคยมีเซ็กซ์ด้วย ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าคXXตัวเองหอม แล้วกดให้เราลงไปอมทุกครั้ง จนกลายเป็นขั้นตอนประจำก่อนมีเซ็กซ์ แต่อมนานๆ เราก็เจ็บกราม บางทีก็เข้าไปลึกมากจนอยากจะอ้วก ในขณะที่ผู้ชายบางคนรังเกียจการเลียจิ๋มมาก ไม่ทำเลย เราเลยคิดว่ามันไม่แฟร์ ควรถามกันหน่อยว่าอยากให้ทำให้ไหม พลัดกันทำบ้าง แล้วถ้าไม่ทำให้ก็ไม่ได้แปลว่าไม่รัก ไม่อยากมีอะไรด้วย”
เธออายุ 28 ปี #คุยกับจิ๋ม (บทสัมภาษณ์นี้มาจากงานอวัยวะเพศหลากหลาย The Queer Genitals Monologues โดย Queer Riot )