“ตอนอายุ 27 ปี เราเริ่มเล่นทวิตมืด เป็นแอคเคาต์ที่พูดคุยเรื่องเซ็กซ์แบบไม่เปิดเผยตัวตน ถ่ายรูปเซ็กซี่ของตัวเอง และนัด one night stand กับคนที่สนใจ การเล่นทวิตทำให้เราเจอกับผู้ชายคนนี้ เขาอายุ 40 กว่าๆ ดูเป็นคนอบอุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เราโหยหามาตั้งแต่เด็กๆ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกสบายใจเลยมีความสัมพันธ์กับเขามากกว่าคืนเดียว ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าระหว่างที่นัดเจอกัน เขาแอบถ่ายตอนที่มีอะไรด้วยกันมาตลอด … จนเราเริ่มห่างจากเขา เขาก็ทักมาหา ส่งคลิป ส่งรูปที่แอบถ่ายมาให้เพื่อขู่เรา บอกว่าพี่มีถ่ายไว้เยอะเลย อยากเก็บเอาไว้ดูคนเดียว พอเห็นข้อความนั้นเราก็ช็อค ทำอะไรไม่ถูกเลย
หลังจากนั้นเราก็โพสต์เพื่อเตือนคนอื่นในทวิตเตอร์ว่าเราเจอเรื่องนี้จากผู้ชายคนนี้ ทำให้มีคนทักมาหลังไมค์ว่าเขาลงรูปลงคลิปเราใน Pornhub และในกลุ่มลับที่คนจ่ายเงินเพื่อดูคลิปแอบถ่ายด้วย พอเราสืบก็ได้เห็นคลิปและภาพที่เขาแอบถ่ายไว้เต็มเลย เราตกใจมาก ร้องไห้ โทษตัวเองต่างๆ นานา ว่าไม่น่าไปนัดมีอะไรกับคนคนนี้เลย
หลังจากเราตั้งสติได้ เราก็คิดว่าเรายอมไม่ได้ที่ภาพและคลิปเหล่านั้นจะอยู่แบบนั้นตลอดไป เลยรวบรวมหลักฐานเพื่อแจ้งความกับตำรวจ แต่กระบวนการก็ไม่ง่ายเลย ตอนไปหาตำรวจรอบแรกก็ไม่รับแจ้งความ แถมพูดจาไม่ดีใส่ ไล่ให้เราไปแจ้งที่สถานีอื่น เราต้องเลยไปอีก สน. แต่เขาแค่ลงบันทึกประจำวันให้ ไม่ได้รับแจ้งความ
ด้วยความที่เราทุกข์และเครียดมาก เพื่อนเลยแนะนำให้รู้จักเพจกล้าเล่า และได้รับคำแนะนำให้ปรึกษากับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จึงเรียบเรียงข้อมูลใหม่เพื่อเข้าแจ้งความ ซึ่งแม้จะแจ้งความสำเร็จ แต่เรื่องก็เงียบ เลยต้องไปเดินเรื่องต่อที่ ปอท. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี) 2 รอบ ตำรวจถึงค่อยขยับ แจ้งคู่กรณีว่ามีคดีเกิดขึ้น ตอนแรกตำรวจมีบอกด้วยว่าเขาหาตัวคู่กรณีไม่เจอ แต่เราก็เห็นว่าทำงานที่เดิม เลยชวนเพื่อนไปหาเขาที่ร้านหมูจุ่มที่เขาเป็นเจ้าของ พอเห็นตัวก็โทรตามตำรวจ ปรากฏว่าตำรวจอิดออด ไม่ยอมมา บอกว่ามันดึกมากแล้ว เพื่อนอีกคนเลยแนะนำให้ทนายคุยกับตำรวจแทน ภายในวันเดียวตำรวจดำเนินการให้เลย
หลังจากนั้นคู่กรณีก็ตอบกลับมาว่าเขาขอไกล่เกลี่ย จะเอาเงินเท่าไหร่ เงื่อนไขแบบไหนเราถึงจะยอมความ เราก็แจ้งไป แต่พอถึงวันไกล่เกลี่ยจริง เขากลับบอกว่าว่าเขาจน เขาไม่มีเงินจ่าย ที่ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งๆ ที่เขาทำแบบนี้มานานและทำเป็นอาชีพ เพียงแต่คนอื่นไม่กล้าแจ้งความ เลยยังทำต่อไป … ทุกครั้งที่ไปเจอก็รู้สึกแย่ เศร้า โกรธ trauma แต่ก็สู้ต่อ เพราะไม่อยากถูกเอาเปรียบ ไม่อยากต้องมาระแวงว่าคลิปเราจะถูกเอาไปทำอะไรไหม
ในการไกล่เกลี่ยรอบ 2 เขาก็ให้ตำรวจมาพูดกับเราเหมือนเดิม บอกว่าเขาไม่มีเงิน อย่างนู้นอย่างนี้ เราเลยบอกว่าถ้ารอบนี้เขาไม่ยอมทำตามเงื่อนไข คือจ่ายค่าเสียหาย ลบคลิปทั้งหมด และลบแอคเคาต์ทวิตเตอร์ เราจะขอเลขคดีมาดำเนินการต่อ เขาเลยยอม เราก็อยากจบแล้ว ไม่อยากเจอหน้าเขาแล้ว เลยจบคดีได้ในเวลาอันรวดเร็ว
แต่เรื่องมาพีคตรงที่ว่าพอไกล่เกลี่ยเสร็จ เรายังไม่ทันเดินออกมาจาก สน. เลย ตำรวจก็ไลน์มาถามว่าพอมีค่าดำเนินการให้เขาไหม เราก็งงและปรึกษามูลนิธิที่มาช่วยว่าทำยังไงดี เขาบอกว่าไม่ต้องตอบ บล็อกเบอร์ไป แต่ด้วยความที่เขาเป็นตำรวจในพื้นที่บ้านเรา เราก็กังวล ป้าก็บอกว่าเพื่อความสบายใจให้จ่ายไป แล้วก็กำชับให้เขาช่วยดูแลหลานให้หน่อย เราก็โอเคจ่าย แต่แปลกตรงที่แม้จะจ่ายเงินไปแล้วก็ไม่รู้สึกปลอดภัยอยู่ดี สุดท้ายเลยตัดสินใจย้ายมาอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งอยู่ในละแวกบ้านป้าเรา
หลังจากนั้นเรายังพบว่าหลังจากเขาถูกบังคับให้ปิดแอคเก่า เขาก็ไปเปิดแอคใหม่ แล้วทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนเหยื่อ เรารู้แล้วก็รู้สึกเครียดและโทษตัวเองต่างๆ นานา ว่าเราตัดสินใจผิดที่ถอนแจ้งความ ทำไมเราไม่เอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด เพราะลึกๆ เราก็ไม่แน่ใจว่าเขายังมีคลิปของเราอยู่อีกไหม เขาจะโพสต์คลิปเราอีกหรือเปล่า เรื่องนี้ทำให้เราตกอยู่ในภาวะหวาดระแวง เครียด ซึมเศร้า จนต้องไปแอดมิทฉุกเฉินที่โรงพยาบาลจิตเวชเลย
ด้วยความที่เราเคยป่วยซึมเศร้ามาอยู่แล้ว การหยุดโทษตัวเองซ้ำๆ จึงเป็นเรื่องยากมาก เราต้องใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อฟื้นฟูตัวเองให้กลับมา ทั้งกินยา ไปหานักจิตบำบัด ทำศิลปะบำบัด ปลูกต้นไม้ นอนในที่ที่รู้สึกปลอดภัย ทำงานร่วมกับโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่า ไปเที่ยว กินของอร่อยๆ ฯลฯ ง่ายๆ คือเราหา Safe zone ให้ตัวเอง พอทำหลายๆ อาทิตย์ติดต่อกัน ความทุกข์ที่มีก็ค่อยๆ ลดลง จางลง ตอนนี้ผ่านเรื่องราวเหล่านี้ได้ปีกว่าแล้ว รู้สึกว่าสภาพจิตใจเราดีขึ้นมาก โตขึ้น ใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น
ทุกวันนี้เวลาได้อ่านโพสต์เก่าๆ ของตัวเองก็คิดว่า เมื่อก่อนเราใช้ชีวิตไม่ค่อยมีสติเลย คิดอะไรก็โพสต์เลย ทำอะไรก็ไม่คิดว่ามันจะส่งผลอย่างไรกับตัวเอง ทุกวันนี้โตขึ้น รักตัวเองมากขึ้น ถ้ามีอารมณ์ทางเพศ เราก็ใช้เซ็กซ์ทอย ถ้าเหงา เราก็หาคนคุยที่สนใจมีความสัมพันธ์กันจริงๆ ไม่โฟกัสที่เรื่องเซ็กซ์อย่างเดียว ให้ความรักช่วยดึงเราออกจากความมืด ให้กาลเวลา ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวพาเราไปสู่สิ่งใหม่ๆ”
เธออายุ 28 ปี
หลังจากนั้นเราก็โพสต์เพื่อเตือนคนอื่นในทวิตเตอร์ว่าเราเจอเรื่องนี้จากผู้ชายคนนี้ ทำให้มีคนทักมาหลังไมค์ว่าเขาลงรูปลงคลิปเราใน Pornhub และในกลุ่มลับที่คนจ่ายเงินเพื่อดูคลิปแอบถ่ายด้วย พอเราสืบก็ได้เห็นคลิปและภาพที่เขาแอบถ่ายไว้เต็มเลย เราตกใจมาก ร้องไห้ โทษตัวเองต่างๆ นานา ว่าไม่น่าไปนัดมีอะไรกับคนคนนี้เลย
หลังจากเราตั้งสติได้ เราก็คิดว่าเรายอมไม่ได้ที่ภาพและคลิปเหล่านั้นจะอยู่แบบนั้นตลอดไป เลยรวบรวมหลักฐานเพื่อแจ้งความกับตำรวจ แต่กระบวนการก็ไม่ง่ายเลย ตอนไปหาตำรวจรอบแรกก็ไม่รับแจ้งความ แถมพูดจาไม่ดีใส่ ไล่ให้เราไปแจ้งที่สถานีอื่น เราต้องเลยไปอีก สน. แต่เขาแค่ลงบันทึกประจำวันให้ ไม่ได้รับแจ้งความ
ด้วยความที่เราทุกข์และเครียดมาก เพื่อนเลยแนะนำให้รู้จักเพจกล้าเล่า และได้รับคำแนะนำให้ปรึกษากับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล จึงเรียบเรียงข้อมูลใหม่เพื่อเข้าแจ้งความ ซึ่งแม้จะแจ้งความสำเร็จ แต่เรื่องก็เงียบ เลยต้องไปเดินเรื่องต่อที่ ปอท. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี) 2 รอบ ตำรวจถึงค่อยขยับ แจ้งคู่กรณีว่ามีคดีเกิดขึ้น ตอนแรกตำรวจมีบอกด้วยว่าเขาหาตัวคู่กรณีไม่เจอ แต่เราก็เห็นว่าทำงานที่เดิม เลยชวนเพื่อนไปหาเขาที่ร้านหมูจุ่มที่เขาเป็นเจ้าของ พอเห็นตัวก็โทรตามตำรวจ ปรากฏว่าตำรวจอิดออด ไม่ยอมมา บอกว่ามันดึกมากแล้ว เพื่อนอีกคนเลยแนะนำให้ทนายคุยกับตำรวจแทน ภายในวันเดียวตำรวจดำเนินการให้เลย
หลังจากนั้นคู่กรณีก็ตอบกลับมาว่าเขาขอไกล่เกลี่ย จะเอาเงินเท่าไหร่ เงื่อนไขแบบไหนเราถึงจะยอมความ เราก็แจ้งไป แต่พอถึงวันไกล่เกลี่ยจริง เขากลับบอกว่าว่าเขาจน เขาไม่มีเงินจ่าย ที่ทำไปเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งๆ ที่เขาทำแบบนี้มานานและทำเป็นอาชีพ เพียงแต่คนอื่นไม่กล้าแจ้งความ เลยยังทำต่อไป … ทุกครั้งที่ไปเจอก็รู้สึกแย่ เศร้า โกรธ trauma แต่ก็สู้ต่อ เพราะไม่อยากถูกเอาเปรียบ ไม่อยากต้องมาระแวงว่าคลิปเราจะถูกเอาไปทำอะไรไหม
ในการไกล่เกลี่ยรอบ 2 เขาก็ให้ตำรวจมาพูดกับเราเหมือนเดิม บอกว่าเขาไม่มีเงิน อย่างนู้นอย่างนี้ เราเลยบอกว่าถ้ารอบนี้เขาไม่ยอมทำตามเงื่อนไข คือจ่ายค่าเสียหาย ลบคลิปทั้งหมด และลบแอคเคาต์ทวิตเตอร์ เราจะขอเลขคดีมาดำเนินการต่อ เขาเลยยอม เราก็อยากจบแล้ว ไม่อยากเจอหน้าเขาแล้ว เลยจบคดีได้ในเวลาอันรวดเร็ว
แต่เรื่องมาพีคตรงที่ว่าพอไกล่เกลี่ยเสร็จ เรายังไม่ทันเดินออกมาจาก สน. เลย ตำรวจก็ไลน์มาถามว่าพอมีค่าดำเนินการให้เขาไหม เราก็งงและปรึกษามูลนิธิที่มาช่วยว่าทำยังไงดี เขาบอกว่าไม่ต้องตอบ บล็อกเบอร์ไป แต่ด้วยความที่เขาเป็นตำรวจในพื้นที่บ้านเรา เราก็กังวล ป้าก็บอกว่าเพื่อความสบายใจให้จ่ายไป แล้วก็กำชับให้เขาช่วยดูแลหลานให้หน่อย เราก็โอเคจ่าย แต่แปลกตรงที่แม้จะจ่ายเงินไปแล้วก็ไม่รู้สึกปลอดภัยอยู่ดี สุดท้ายเลยตัดสินใจย้ายมาอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งอยู่ในละแวกบ้านป้าเรา
หลังจากนั้นเรายังพบว่าหลังจากเขาถูกบังคับให้ปิดแอคเก่า เขาก็ไปเปิดแอคใหม่ แล้วทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนเหยื่อ เรารู้แล้วก็รู้สึกเครียดและโทษตัวเองต่างๆ นานา ว่าเราตัดสินใจผิดที่ถอนแจ้งความ ทำไมเราไม่เอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด เพราะลึกๆ เราก็ไม่แน่ใจว่าเขายังมีคลิปของเราอยู่อีกไหม เขาจะโพสต์คลิปเราอีกหรือเปล่า เรื่องนี้ทำให้เราตกอยู่ในภาวะหวาดระแวง เครียด ซึมเศร้า จนต้องไปแอดมิทฉุกเฉินที่โรงพยาบาลจิตเวชเลย
ด้วยความที่เราเคยป่วยซึมเศร้ามาอยู่แล้ว การหยุดโทษตัวเองซ้ำๆ จึงเป็นเรื่องยากมาก เราต้องใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อฟื้นฟูตัวเองให้กลับมา ทั้งกินยา ไปหานักจิตบำบัด ทำศิลปะบำบัด ปลูกต้นไม้ นอนในที่ที่รู้สึกปลอดภัย ทำงานร่วมกับโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกมีคุณค่า ไปเที่ยว กินของอร่อยๆ ฯลฯ ง่ายๆ คือเราหา Safe zone ให้ตัวเอง พอทำหลายๆ อาทิตย์ติดต่อกัน ความทุกข์ที่มีก็ค่อยๆ ลดลง จางลง ตอนนี้ผ่านเรื่องราวเหล่านี้ได้ปีกว่าแล้ว รู้สึกว่าสภาพจิตใจเราดีขึ้นมาก โตขึ้น ใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น
ทุกวันนี้เวลาได้อ่านโพสต์เก่าๆ ของตัวเองก็คิดว่า เมื่อก่อนเราใช้ชีวิตไม่ค่อยมีสติเลย คิดอะไรก็โพสต์เลย ทำอะไรก็ไม่คิดว่ามันจะส่งผลอย่างไรกับตัวเอง ทุกวันนี้โตขึ้น รักตัวเองมากขึ้น ถ้ามีอารมณ์ทางเพศ เราก็ใช้เซ็กซ์ทอย ถ้าเหงา เราก็หาคนคุยที่สนใจมีความสัมพันธ์กันจริงๆ ไม่โฟกัสที่เรื่องเซ็กซ์อย่างเดียว ให้ความรักช่วยดึงเราออกจากความมืด ให้กาลเวลา ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมรอบตัวพาเราไปสู่สิ่งใหม่ๆ”
เธออายุ 28 ปี


พรรัตน์ วชิราชัย
นักเขียนที่ถนัดงานสัมภาษณ์ สนใจประเด็น feminist ความเป็นธรรมทางเพศ ประเด็นสุขภาพจิต ฯลฯ ชอบดูซีรีย์และเดินทางเวลาเหนื่อย