ไม่นานมานี้ฉันไปเรียนเรื่อง “เพศ อำนาจ และขบวนการเคลื่อนไหว”
กับเพื่อนพี่น้องนักกิจกรรมหลายคน
และส่วนที่สนุกและคุยมันส์ที่สุดไม่พ้นคือเรื่องเพศและเพศวิถี ฉันได้ฟังว่าเพื่อน
LGBTQ+ นั้นถูกกีดกันเนื่องจากเพศวิถีของตนไม่ตรงกับความเป็นหญิงและชายอย่างไรบ้างเกือบทั้งวัน ตกเย็นก็ได้พูดคุยนอกรอบว่าด้วยเรื่องนี้อีกซึ่งเป็นการเปิดโลกของฉันมากทีเดียว
จะว่าไปแล้วชีวิตที่ผ่านมาฉันไม่ค่อยได้ฟังเพื่อนผู้หญิงของฉันเล่าเรื่องชีวิตทางเพศ
ของตัวเองเลย เหมือนเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง
แต่พอได้ทำงานสัมภาษณ์ในเพจคุยกับเธอ
ฉันเลยมีโอกาสได้ฟังเรื่องราวของผู้หญิงที่อยู่ในความสัมพันธ์ที่รุนแรง
บางอันก็มองเห็นชัด มีแผลหรือถูกบังคับ บางอันก็มองไม่เห็น
เป็นเพียงการโน้มน้าวหรือกดดันจากคนรอบข้าง ด้านเพื่อนๆ LGBTQ+
นั้นเริ่มสำรวจชีวิต จิตใจ ร่างกายตัวเองตั้งแต่เริ่มมีฮอร์โมน เขารู้ชัดว่าพึงใจในใคร
ไม่พึงใจในใคร
เมื่อมองกลับมาที่ตัวเอง ฉันก็มักจะดูแคลนและคิดว่าตัวเองไม่ค่อยถูกกดขี่เอาเสียเท่าไหร่เลย เพราะฉันเป็นผู้หญิงที่ชอบผู้ชาย แถมเรียบร้อยซะไม่มี แต่พอได้นั่งเม้ากับสาวๆ แบบไม่เป็นทางการก็พบว่า เอ้า ไม่เห็นจริงสักหน่อย ในโลกของเพศวิถี ฉันติดอยู่ในกรอบของเด็กผู้หญิงที่ดีมาตลอดหลายสิบปีเลยต่างหากละ กรอบกรงที่ว่าทำให้ฉันไม่ออกไปทดลองอะไรเลยสักอย่างเดียว
ฉันติดนิสัยของเด็กหญิงที่เรียนโรงเรียนหญิงล้วนที่เก็บเนื้อเก็บตัวและไม่ค่อยรู้จักเ พศตรงข้าม และแม้จะเรียนมหา’ลัยนานแล้ว เรียนจบก็แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนไป เรียกได้ว่า ตัวตนหรือ Self ของฉันในเรื่องเพศและความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกมันไม่ค่อยเติบโตเอาเสียเลย ฉันยังติดกับความรู้สึกกลัว ติดอยู่ในคำสอนของแม่ที่ว่าผู้ชายมันน่ากลัว ห้ามไว้ใจ เดี๋ยวจะถูกหลอก ฯลฯ ติดอยู่กับภาพละครหลังข่าวที่การข่มขืนและลวนลามเกิดขึ้นทุกที่โดยตัวละครหลัก แถมตอนเด็กๆ ยังเคยถูกเดินตามโดยคนแปลกหน้าอีก (ฮืออออ น่ากลัวแบบที่แม่บอกจริงๆ ด้วย!!!)
ดังนั้นฉันจึงโสดเสมอมาและเสมอไป ไม่เคยส่งเคมีความพึงใจให้ใครเลยไม่ว่ากับเพศเดียวกันหรือคนต่างเพศ แอบปิ๊งคนอื่นบ้างก็นานๆ ครั้ง เหมือนคนที่มองเพื่อนวิ่งเล่นตรงสนามหญ้าอย่างสนุกสนาน แต่เรากลัวเข่าแหก และรู้สึกไม่เป็นอะไรที่จะยังนั่งอยู่ตรงนี้ แม้ว่าในวัยที่โตเป็นสาวแล้ว และได้เห็นเพื่อนหลายคนวิ่งไปถึงเส้นชัยแบบที่ผู้หญิงดีๆ เขาทำกัน มีลูก มีครอบครัว ดูมีความสุข แต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
ซึ่งฉันก็คิดว่าตัวเองคงไม่ได้เป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่กลัวและไม่กล้าเช่นนี้หรอก คนเหล่านั้นน่าจะเป็นเหมือนฉันที่เห็นว่า ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรที่เราเป็นผู้หญิงที่ดี และคงไม่กล้าเล่าหรือพูดถึงความต้องการของตัวเองออกมาสักเท่าไหร่
ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยแชร์เรื่องนี้ในกลุ่มย่อยของการอบรมฐานคิดเพศสภาวะ ในวงนั้นมีพี่ผู้ชายที่อายุมากกว่าฉันหลายปีคนหนึ่ง กระบวนกรให้เราแต่ละคนเล่าชีวิตทางเพศของตัวเองพร้อมกับวิเคราะห์ถึงสิ่งที่กดทั บ เมื่อฉันเล่าว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์ทางเพศ เวลาอยากก็ช่วยตัวเองเอา พี่ชายคนนั้นทำหน้าตาแบบที่ดูสงสารฉันมาก จนฉันเริ่มสงสัยตัวเองว่า เอ๊ะ ตัวเรานี่ผิดปกติอะไรหรือเปล่า (ก็นี่ฉันก็ทำตามกรอบของสังคมไง! ทำไมต้องทำหน้าอย่างงั้น)
กลับกลายเป็นว่าการนั่งเม้ากับเพื่อนสาวแบบไม่เป็นทางการในวันนั้นทำให้ฉันรู้สึก ปลอดภัยมากๆ และรู้สึกไม่เป็นอะไรที่เป็นผู้หญิงที่อายุเยอะแล้ว แต่ยังไม่มีประสบการณ์ ไม่เป็นไรที่เราติดอยู่ที่กรอบตรงนั้น เพื่อนของฉันเล่าประสบการณ์ของเธอให้ฉันฟังอย่างสนุกสนาน ตรงไปตรงมา และเต็มไปพลังชีวิตและความอยากรู้อยากลอง ซึ่งบางครั้งเธอก็วิ่งหนีและมันก็ไม่เป็นไร แถมยังบอกว่าประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกมั่นใจในเนื้อตัวร่างกายของตัวเอ งมากขึ้นไปอีก พอได้ฟังแล้วก็ว้าว!! ครั้งนี้ฉันจึงแทบจะเป็นครั้งแรกๆ ที่ฉันมองการออกไปยังสนามหญ้าตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่า โอ้ มันช่างจ้าเสียเหลือเกิน!!!
มาถึงตรงนี้อำนาจที่กดทับตัวฉันอยู่ แน่นอนว่าคืออำนาจของครอบครัวและสังคม แต่ฉันก็รู้สึกว่าอำนาจบางอย่างที่เกาะกุมหัวใจและร่างกายฉันเริ่มคลายออก ฉันเปิดให้ชีวิตสัญชาติญาณของฉันทำงาน และรู้สึกมีแรงที่จะเอาตัวเองไปยืนมั่นๆ บนสนามหญ้าบ้างแล้ว
เมื่อมองกลับมาที่ตัวเอง ฉันก็มักจะดูแคลนและคิดว่าตัวเองไม่ค่อยถูกกดขี่เอาเสียเท่าไหร่เลย เพราะฉันเป็นผู้หญิงที่ชอบผู้ชาย แถมเรียบร้อยซะไม่มี แต่พอได้นั่งเม้ากับสาวๆ แบบไม่เป็นทางการก็พบว่า เอ้า ไม่เห็นจริงสักหน่อย ในโลกของเพศวิถี ฉันติดอยู่ในกรอบของเด็กผู้หญิงที่ดีมาตลอดหลายสิบปีเลยต่างหากละ กรอบกรงที่ว่าทำให้ฉันไม่ออกไปทดลองอะไรเลยสักอย่างเดียว
ฉันติดนิสัยของเด็กหญิงที่เรียนโรงเรียนหญิงล้วนที่เก็บเนื้อเก็บตัวและไม่ค่อยรู้จักเ พศตรงข้าม และแม้จะเรียนมหา’ลัยนานแล้ว เรียนจบก็แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนไป เรียกได้ว่า ตัวตนหรือ Self ของฉันในเรื่องเพศและความสัมพันธ์เชิงโรแมนติกมันไม่ค่อยเติบโตเอาเสียเลย ฉันยังติดกับความรู้สึกกลัว ติดอยู่ในคำสอนของแม่ที่ว่าผู้ชายมันน่ากลัว ห้ามไว้ใจ เดี๋ยวจะถูกหลอก ฯลฯ ติดอยู่กับภาพละครหลังข่าวที่การข่มขืนและลวนลามเกิดขึ้นทุกที่โดยตัวละครหลัก แถมตอนเด็กๆ ยังเคยถูกเดินตามโดยคนแปลกหน้าอีก (ฮืออออ น่ากลัวแบบที่แม่บอกจริงๆ ด้วย!!!)
ดังนั้นฉันจึงโสดเสมอมาและเสมอไป ไม่เคยส่งเคมีความพึงใจให้ใครเลยไม่ว่ากับเพศเดียวกันหรือคนต่างเพศ แอบปิ๊งคนอื่นบ้างก็นานๆ ครั้ง เหมือนคนที่มองเพื่อนวิ่งเล่นตรงสนามหญ้าอย่างสนุกสนาน แต่เรากลัวเข่าแหก และรู้สึกไม่เป็นอะไรที่จะยังนั่งอยู่ตรงนี้ แม้ว่าในวัยที่โตเป็นสาวแล้ว และได้เห็นเพื่อนหลายคนวิ่งไปถึงเส้นชัยแบบที่ผู้หญิงดีๆ เขาทำกัน มีลูก มีครอบครัว ดูมีความสุข แต่ฉันก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
ซึ่งฉันก็คิดว่าตัวเองคงไม่ได้เป็นผู้หญิงคนเดียวในโลกที่กลัวและไม่กล้าเช่นนี้หรอก คนเหล่านั้นน่าจะเป็นเหมือนฉันที่เห็นว่า ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรที่เราเป็นผู้หญิงที่ดี และคงไม่กล้าเล่าหรือพูดถึงความต้องการของตัวเองออกมาสักเท่าไหร่
ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยแชร์เรื่องนี้ในกลุ่มย่อยของการอบรมฐานคิดเพศสภาวะ ในวงนั้นมีพี่ผู้ชายที่อายุมากกว่าฉันหลายปีคนหนึ่ง กระบวนกรให้เราแต่ละคนเล่าชีวิตทางเพศของตัวเองพร้อมกับวิเคราะห์ถึงสิ่งที่กดทั บ เมื่อฉันเล่าว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่มีประสบการณ์ทางเพศ เวลาอยากก็ช่วยตัวเองเอา พี่ชายคนนั้นทำหน้าตาแบบที่ดูสงสารฉันมาก จนฉันเริ่มสงสัยตัวเองว่า เอ๊ะ ตัวเรานี่ผิดปกติอะไรหรือเปล่า (ก็นี่ฉันก็ทำตามกรอบของสังคมไง! ทำไมต้องทำหน้าอย่างงั้น)
กลับกลายเป็นว่าการนั่งเม้ากับเพื่อนสาวแบบไม่เป็นทางการในวันนั้นทำให้ฉันรู้สึก ปลอดภัยมากๆ และรู้สึกไม่เป็นอะไรที่เป็นผู้หญิงที่อายุเยอะแล้ว แต่ยังไม่มีประสบการณ์ ไม่เป็นไรที่เราติดอยู่ที่กรอบตรงนั้น เพื่อนของฉันเล่าประสบการณ์ของเธอให้ฉันฟังอย่างสนุกสนาน ตรงไปตรงมา และเต็มไปพลังชีวิตและความอยากรู้อยากลอง ซึ่งบางครั้งเธอก็วิ่งหนีและมันก็ไม่เป็นไร แถมยังบอกว่าประสบการณ์ดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกมั่นใจในเนื้อตัวร่างกายของตัวเอ งมากขึ้นไปอีก พอได้ฟังแล้วก็ว้าว!! ครั้งนี้ฉันจึงแทบจะเป็นครั้งแรกๆ ที่ฉันมองการออกไปยังสนามหญ้าตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่า โอ้ มันช่างจ้าเสียเหลือเกิน!!!
มาถึงตรงนี้อำนาจที่กดทับตัวฉันอยู่ แน่นอนว่าคืออำนาจของครอบครัวและสังคม แต่ฉันก็รู้สึกว่าอำนาจบางอย่างที่เกาะกุมหัวใจและร่างกายฉันเริ่มคลายออก ฉันเปิดให้ชีวิตสัญชาติญาณของฉันทำงาน และรู้สึกมีแรงที่จะเอาตัวเองไปยืนมั่นๆ บนสนามหญ้าบ้างแล้ว


พรรัตน์ วชิราชัย
นักเขียนที่ถนัดงานสัมภาษณ์ สนใจประเด็น feminist ความเป็นธรรมทางเพศ ประเด็นสุขภาพจิต ฯลฯ ชอบดูซีรีย์และเดินทางเวลาเหนื่อย